วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นิทานก่อนนอน(อีสาน) ผีหูฮ่ม

ผีหูฮ่ม

          ตอนที่ฉันยังเป็นเด็ก หลายครั้งที่ฝนตกตอนหัวค่ำ เหมือนมันเป็นสัญญาณว่าฉันกับพี่  ๆ จะได้ฟังนิทานก้อม( นิทานพื้นบ้านของคนภาคอีสาน )  จากพ่อ เสียงฝนกระทบสังกะสีเสียงดัง กินข้าวเย็นเสร็จอิ่มดีแล้ว ก็หอบผ้าห่มมาห่มนั่งล้อมวงโดยมีพ่อเป็นจุดศูนย์กลาง ฉันกับพี่เริ่มลุ้นว่าวันนี้พ่อจะเล่านิทานเรื่องใหม่ หรือเรื่องเดิม แต่แม้ว่าจะเป็นนิทานเรื่องเดิมแต่ฉันกับพี่ ๆ ก็ไม่เคยที่จะไม่ตื่นเต้นแม้ว่าเคยได้ฟังมาแล้วหลายรอบ เพราะพ่อจะมีการเพิ่มลูกเล่นให้เรื่องน่าสนใจไม่ซ้ำเดิมอยู่เสมอ ตอนนั้นยังเคยคิดเลยว่าพ่อน่าจะได้เป็นนักเขียนจะดีไหม นักเขียนนิทาน เรื่องสั้น และแล้วพ่อก็เริ่มเล่าเรื่องของผีหูร่มให้ฟัง

นิทานเรื่องผีหูฮ่ม

       ตอนสมัยที่ปู่เป็นเด็ก หมู่บ้านของเรายังมีบ้านเรือนคนน้อยมาก ยังไม่มีไฟฟ้า ไม่มีรถ แม้แต่เทียนยังไม่มีให้ซื้อใช้  ขนาดเงินยังแทบจะไม่ได้ใช้ เหมือนยังไม่มีความจำเป็นสักเท่าไหร่ แต่ถ้าได้เดินเท้าเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อหาจอบ เสียม ถึงรู้ว่าเงินจำเป็นกับชีวิตในสมัยนั้น

       มีเถียงนากลางป่าซึ่งเป็นที่อาศัยของตาเที่ยงกับยายมา แสงของกระบองยังคงใล่ความมืดมิดได้บ้าง แต่รัศมีของแสงก็ยังจำกัดอยู่ไม่เกินชานเถียงแค่นั้น ตาเที่ยงกับยายมาร่วมชีวิตกันมานานหลายปียังไม่มีลูกสืบสกุล แต่ก็ดูแลและรักใคร่กันมาก นานที่ถึงจะเดินทางไปเยี่ยมญาติที่อยู่หมู่บ้านอื่น ๆ ที่อยู่ไกลออกไป แต่ละวันตาเที่ยงกับยายมาจะต้องถางป่า พรวนดิน เลี้ยงควายเพื่อจะได้มีปุ๋ยใส่นาข้าว

       ฝนเริ่มตกปรอย ๆ ตอนกลางดึกของคืนหนึ่งที่เงียบสงัด  ไม่นานเสียงกบเขียดเสียงดังระงมไปทั่วบริเวณซึ่งไกลจากกระท่อมออกไปไม่มากนัก  ยายมารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเพราะเสียงกบเขียดร้อง รีบปลุกตาเที่ยงให้ออกไปจับกบจับเขียด ตาเที่ยงตื่นแล้วรีบเร่งจุดกระบองใส่หมวกคว้าค่องขึ้นสะพายข้าง เดินฉับ ๆ ตรงไปตามทิศของเสียงที่ดังมาก ๆ ที่สุด

       ตาเที่ยงเดินไปไม่ไกลก็เริ่มมีกบมีเขียดให้จับ ตาเที่ยงจับกบเพลิน เริ่มค้องหนักบ้างแล้ว กบเขียดบริเวณใกล้ ๆ เถียงเริ่มบางเบา ทำให้ตาเที่ยงต้องเดินไกลไปตามแหล่งของเสียงกบที่ดังห่างออกไป ตาเที่ยงจับกบกลางฝนนานเริ่มตัวหนาวสั่น และกบก็ได้มากพอที่จะกินได้อีกหลายวันด้วยซ้ำ ตาเที่ยงจึงคิดว่าถึงเวลาจะกลับบ้านแล้ว "เมื่อดีกว่า ได้หลายแล้ว แถมยังหนาวคักแล้ว" ตาเที่ยงพูดก่อนจะลุกขึ้นยืน แต่เมื่อหันกลับไปก็เจอสิ่งแปลกประหลาดที่สุดในชีวิตของตาเที่ยง สิ่งที่เขาเห็นอยู่ตรงหน้านั่นก็คือผู้หญิงร่างผอมเหมือนกับมีแค่หนังหุ้มกระดูก ผิวซีดเผือด ตาแดงก่ำ หน้าตาดูหมองเศร้า ผมตรงยาวลงมาถึงเข่า  ใบหูยาวเรียวแหลม ขอบบนของใบหูน่าสยดสยอง เพราะมันยื่นขึ้นไปข้างบนเป็นแกนก่อนที่จะแผ่ออกเป็นวงกลมคล้ายกับคนกางร่ม แต่มันเป็นร่มสองคันอยู่ตำแหน่งของใบหูของผู้หญิงคนนั้น เสื้อผ้าของผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนกับเป็นเนื้อบาง ๆ หุ้มอยู่แต่เป็นเนื้อสีขาวขุ่น
     
              ก่อนที่ตาเที่ยงจะตั้งสติได้นั้น ผู้หญิงประหลาดได้เอ่ยขึ้นว่า "ตาอยากได้กบเขียดไว้กินได้นาน อิ่มไปตลอดชีวิตของตาไหม" ตาเที่ยงได้ยินชัดเจนแต่ยังขยับขาไม่ได้เลยกลั้นใจตอบด้วยเสียงอันเบาว่า "อยากอยู่" ตาเที่ยงพูดทั้งกล้า ๆ กลัว ๆ ทั้งอยากรู้อยากเห็น ทั้งอยากวิ่งหนีแต่วิ่งไม่ออก ตาเท่ยงเลยทำใจสู้ข่มใจไม่ให้กลัวจนสติแตก
   
                พอตั้งสติได้บ้างเลยถามผู้หญิงประหลาดว่า "อีนางบ้านอยู่ไส มาเห็ดยังกลางดึก บ่มีฟืนบ่มีไฟ บ่หย้านบ่" ผู้หญิงผอมตอบว่า ข่อยมาตามหาผัวข่อยเผิ่นหนีข่อยมาคืนก่อน ข่อยพึ่งได้มาตามหาเพราะว่ามื้อนี่ฝนพึ่งตก ถ้าฝนบ่ตกข่อยกะจะออกมาแบบนี่บ่ได้ ตาเห็นผัวข่อยบ่ ถ้าตาช่วยตามหาผัวข่อยเจอ ข่อยจะให้กบให้เขียดตากินตลอดชีวิตของตาเลย"

          ตาเที่ยงเห็นผู้หญิงประหลาดพูดได้และคุยรู้เรื่องความกลัวเริ่มลดลงบ้าง แต่ความน่าสยดสยองยังคงไม่หมดไปได้ ตาเที่ยงจึงถามว่า "ตาบ่เห็นไผ่ดอกแถวนี่กะมีแต่ตากับยายมาอยู่กันแค่สองคน อีหล่าไปหาทางอื่นเด้อ" พอได้ยินตาเที่ยงบอกหญิงประหลาดเริ่มร้องไห้โหยหวน แล้วกระโดดหย่อย ๆ จากไปพร้อมกับเสียงที่ดังคล้ายคนตะโกนว่า "หูห่ม หูห่ม หูห่ม ..."

           พอร่างหญิงประหลาดลับตาไปตาเที่ยงเหมือนได้สติกลับมา แข้งขามีเรี่ยวแรงทันที รีบวิ่งกลับกระท่อมหายายมา และปลุกยายขึ้นมาเพื่อฟังเรื่องน่ากลัวนี้

จบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น